ทวิภาคีเฟสใหม่ของ “อินโดนีเซีย-สิงคโปร์” เอื้อประโยชน์ต่ออาเซียน

(People's Daily Online)วันศุกร์ 24 มีนาคม 2023

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ หลังจากการสรุปข้อตกลงหลายฉบับ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียและนายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้สรุปการประชุมผู้นำประจำปีที่จัดขึ้นในสิงคโปร์ด้วยการต้อนรับการให้สัตยาบันของข้อตกลงทั้งสามภายใต้กรอบการขยายตัว ระหว่างอาณาเขตแถลงข่าวการบิน (Flight Information Region, FIR) ของอินโดนีเซียและ FIR ของสิงคโปร์ สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนของผู้ลี้ภัยและข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหม

นายลีและวิโดโด ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาทุนมนุษย์ พลังงานหมุนเวียน และความมั่นคง

การประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคมจัดขึ้นในช่วงเวลาที่อินโดนีเซียเป็นประธานหมุนเวียนของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ “อาเซียนที่เข้มแข็งและเหนียวแน่นยิ่งขึ้น” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศสามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวอย่างที่ดีสำหรับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ในการใช้ประโยชน์จากแรงกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเพื่อฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาด” อเล็กเซียส เจมาดู อาจารย์ประจำคณะสังคมและการวิทยาศาสตร์การเมืองแห่งมหาวิทยาลัย เปริตา ฮาราปัน (Pelita Harapan) ของอินโดนีเซียกล่าว     ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อการเป็นประธานหมุนเวียนของอินโดนีเซียภายใต้แนวคิดหลักที่ว่า “อาเซียนสำคัญ: ศูนย์กลางแห่งความเติบโต” (ASEAN Matters: Epicentrum of Growth) เขากล่าวเสริม

จากข้อมูลตามเว็บไซต์ทางการของสำนักเลขาธิการอาเซียน ในฐานะประธานในปีนี้ อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะเสริมสร้างการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยืนยันให้ภูมิภาคนี้เป็น “ศูนย์กลางของการเติบโต - ศูนย์กลางแห่งความเติบโต”

นายมุสตาฟา อิซซุดดิน นักวิเคราะห์สังคมและกิจการระหว่างประเทศอาวุโสของบริษัทที่ปรึกษา Solaris Strategies ของสิงคโปร์กล่าวว่า “ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์แน่นแฟ้นมากขึ้นเท่าใด อาเซียนก็จะยิ่งแข็งแกร่งและเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้นในฐานะองค์กรระดับภูมิภาค”

เขากล่าวเพิ่มว่า การสนับสนุนจากสิงคโปร์จะเป็น “สิ่งสำคัญ” ต่ออินโดนีเซีย เนื่องจากจะช่วยเสริม “การเป็นผู้นำต้นแบบ” ในฐานะประธานอาเซียนที่สามารถให้ “ความเป็นผู้นำเชิงจินตนาการและให้คำปรึกษาเพื่อจัดการกับความท้าทายในภูมิภาค”

หนึ่งในนั้นคือวิกฤตในเมียนมา นายลีกล่าวว่า สิงคโปร์จะทำงานร่วมกับอินโดนีเซีย สมาชิกอาเซียน และพันธมิตรอื่น ๆ เช่น สหประชาชาติ เพื่อดำเนินการอย่างเต็มที่ตามแผนสันติภาพเมียนมา “ฉันทามติ 5 ประการ” ซึ่งได้ตกลงกันในเดือนเมษายน 2564 ฉันทามติรวมถึงการเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงโดยทันทีและรวมถึงการเจรจาทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย

นายยัสมี อเดรียนยาห์ ผู้ก่อตั้ง ศูนย์ศึกษานโยบาย ธุรกิจและการต่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยอัล-อัสฮาร์ อินโดนีเซียกล่าวว่า “วิกฤตเมียนมาคุกคามความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน อินโดนีเซียต้องการการสนับสนุนจากสิงคโปร์และประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในการดำเนินการตามฉันทามติให้สำเร็จ และยุติปัญหาเมียนมา”

การประชุมผู้นำสิงคโปร์-อินโดนีเซียจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่ทั้งสองประเทศฉลองครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

นายลีและนายวิโดโดเห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจและความเป็นหุ้นส่วนที่ทั้งสองประเทศพัฒนาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา การประชุมถูกจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่นั้นมา ยกเว้นในปี 2563 ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19

นายมุสตาฟากล่าวว่า การประชุมทวิภาคีได้เตรียมทั้งสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับ “อนาคตร่วมกันซึ่งกำหนดขึ้นโดยเทคโนโลยีทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล”

เขาอ้างถึงบันทึกความร่วมมือในโครงการ Tech:X ซึ่งอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีรุ่นเยาว์ทำงานในประเทศของกันและกันได้นานถึงหนึ่งปี เขากล่าวว่า Tech:X คือ “คลื่นแห่งอนาคตในความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์” ซึ่งช่วยให้ สองประเทศร่วมกันบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีและพัฒนาเมืองอัจฉริยะ

นายเดดี ดินาโต หัวหน้านักวิเคราะห์ของอินโดนีเซีย บริษัทที่ปรึกษานโยบายสาธารณะซึ่งเป็นที่ปรึกษาระดับโลกกล่าวว่า หนึ่งในประเด็นเด่นที่สุดในงานประชุมผู้นำประจำปีนี้คือ ความเชื่อมั่นที่แสดงออกโดยทั้งอินโดนีเซียและสิงคโปร์ว่า “ประเด็นที่มีมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับน่านฟ้า ความร่วมมือด้านการป้องกัน และสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตึงเครียดอีกต่อไป”

สิงคโปร์และอินโดนีเซียได้ขออนุมัติจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการตามข้อตกลงภูมิภาคของตนเกี่ยวกับข้อมูลเที่ยวบิน ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว อินโดนีเซียจะมอบหมายให้สิงคโปร์ให้บริการการเดินอากาศในส่วนของน่านฟ้าภายในเขต FIR ของอินโดนีเซีย

นายดินาโตกล่าวว่า บันทึกข้อตกลงที่ลงนามแล้ว “จะเป็นรากฐานสำคัญ" สำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีในปี ต่อ ๆ ไป ในฐานะที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2567 เพื่อให้มีผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายวิโดโด

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การประชุมผู้นำฯ ยังช่วยนายวิโดโดในการส่งเสริมหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดี นั่นคือ การย้ายเมืองหลวงของประเทศ จากจาการ์ตาในเกาะชวาไปยังจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก นครหลวงนูซันตารา (Nusantara) ในอนาคต ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2567

ในระหว่างการประชุม นายลีให้คำมั่นว่าสิงคโปร์จะสนับสนุนการวางแผนและพัฒนานครหลวงนูซันตารา

ศูนย์สิงคโปร์เพื่อเมืองที่น่าอยู่ กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และองค์กรนครหลวงนูซันตาราแห่งอินโดนีเซียได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือในการแบ่งปันความรู้ การเสริมสร้างศักยภาพและการวิจัยเกี่ยวกับเมืองหลวงในอนาคต