ความคิดริเริ่มช่วยอารยธรรมเจริญเติบโต
ข้อเสนอของจีนมีส่วนร่วมในการพัฒนากระบวนการทำให้ทันสมัยให้ก้าวหน้าขึ้น
“ความคิดริเริ่มอารยธรรมโลกซึ่งเรียกร้องให้เคารพความหลากหลาย และแสวงหาการสนทนาระหว่างวัฒนธรรมสามารถนำสันติภาพและการพัฒนามาสู่โลก” ผู้สังเกตการณ์จีนในสหราชอาณาจักรกล่าว
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอความคิดริเริ่มอารยธรรมในขณะที่เขาพูดผ่านวิดีโอลิงก์ที่พรรคคอมมิวนิสต์สนทนากับพรรคการเมืองโลกระดับสูง เมื่อ 15 มีนาคม 2566 ซึ่งมีผู้แทนพรรคการเมืองมากกว่า 500 พรรคและองค์กรต่าง ๆ จากกว่า 150 ประเทศเข้าร่วมประชุม
“ดอกไม้เดียวไม่ได้ทำให้เกิดฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่ดอกไม้หนึ่งร้อยดอกที่กำลังบานนำพาฤดูใบไม้ผลิมาสู่สวน” ปธน. สี จิ้นผิงกล่าวโดยใช้คำอุปมาอุปมัยเพื่อสรุปความคิดริเริ่มซึ่งเน้นย้ำว่า เพื่อที่จะพัฒนากระบวนการสู่ความทันสมัยของมนุษยชาตินั้น การรวมความหลากหลายของกลุ่มคน การอยู่ร่วมกัน การแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างอารยธรรมที่แตกต่างกันเป็นบทบาทที่ไม่สามารถมีอะไรแทนที่ได้
คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้วิจารณ์ชาวอังกฤษและบรรณาธิการร่วมของเว็บไซต์ Friends of Socialist China กล่าวว่า การริเริ่มเป็นคำตอบของจีนที่มีต่อแนวคิดที่มีความเสี่ยงในเรื่อง “การปะทะกันของอารยธรรม” และเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดสงครามเย็น
“ความคิดริเริ่มยืนยันให้เห็นว่า ในสถานที่ของการแบ่งแยกและการแบ่งแยกประชาชนโลกสามารถอยู่รอดและเจริญเติบโตได้ด้วยความสามัคคี และสามารถแก้ปัญหาที่สำคัญร่วมกันได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด สงคราม การแพร่กระจายของนิวเคลียร์และความยากจน” เขากล่าว
มาร์ติเนซ ชี้ว่าการยึดมั่นต่อสันติสุขและความรุ่งเรืองร่วมกันของจีนแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของความคิดริเริ่ม
“ในขณะที่ชาวตะวันตกยืนยันที่จะเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับไฟยูเครน จีนได้ปล่อยรายงานตำแหน่ง 12 จุด เพื่อสรุปเส้นทางปฏิบัติสู่สันติภาพ ในขณะที่ตะวันตกสร้างโครงสร้างอย่างเช่น กติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) เพื่อสร้างโครงสร้างระดับโลกของอำนาจทางทหาร จีนสร้างการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก” เขากล่าว
รานา มิทเทอร์ (Rana Mitter) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และการเมืองของจีนสมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดกล่าวว่า การริเริ่มทำให้เขาสะท้อนให้เห็นว่า “อารยธรรม” สามารถนับเป็นคำนามร่วมได้เพราะอารยธรรมในทุกที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอื่น ๆ ตลอดประวัติศาสตร์ของตัวมันเอง
“อารยธรรมอันยาวนานของจีนมาจากดินแดนในพื้นที่มณฑลซานตง และอิทธิพลของศาสนาพุทธในอินเดีย ศิลปะของแคว้นคันธาระ (Gandhara) ในเอเชียแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมกรีกที่นำโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช และการแพทย์ตะวันตกก็ได้รับอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ของอิสลาม วันนี้อารยธรรมระดับโลกเติบโตเบ่งบานขึ้นเมื่อพวกเขานำออกมาจากกันและกัน และตระหนักว่าขอบเขตนั้นเป็นดั่งน้ำและตัวตนก็เป็นลูกผสม” มิทเทอร์กล่าวเสริม
สตีเฟ่น เพอร์รี่ ประธานสโมสรกลุ่ม 48 ซึ่งเป็นชุมชนธุรกิจที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีน-สหราชอาณาจักรกล่าวว่า “ความริเริ่มได้ช่วยให้โลกค้นหาธีมร่วมกันที่จะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ทำงานร่วมกันได้ มันมาจากการเคารพสิทธิของกันและกันต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน รวมทั้งระบบและค่านิยมที่แตกต่างกันของสิ่งเหล่านี้” เพอร์รี่กล่าว
“ไม่จำเป็นต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือการแข่งขัน เพียงแค่ยอมรับเส้นทางที่แตกต่างกันของแต่ละอารยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการร่วมมือและเผชิญกับความท้าทายที่แท้จริงของโลก” เธอกล่าวเสริม
เอช-เจ โคลส์ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายมีส่วนร่วมกับจีน ซึ่งเป็นโครงการทางการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างรุ่น รู้จีน ในสหราชอาณาจักร เน้นถึงความจำเป็นในการทะลายกำแพงระหว่างประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องให้มีการสนทนาและความร่วมมือทางอารยธรรมระหว่างประเทศ
“ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่ภัยธรรมชาติไปจนถึงสงครามวิกฤตค่าครองชีพและการขาดแคลนอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบรรยากาศทั่วโลกที่แสดงถึงความไม่สงบและขาดความไว้วางใจระหว่างประเทศ” เธอกล่าว “สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะแทนที่จะสร้างสะพานเพื่อช่วยความเข้าใจและคลี่คลายความตึงเครียด แต่กลับสร้างกำแพงการสนทนาเชิงเปรียบเทียบ”
“จากการทำงานของเรากับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อมีการสนทนาข้ามวัฒนธรรมเราค้นพบว่าพวกเรามีความคล้ายคลึงกันอย่างไรในหลาย ๆ ด้าน และยังได้รับการเสริมสร้างโดยการชื่นชม สะท้อนและถูกท้าทายโดยสิ่งที่แต่ละฝ่ายได้นำคำจำกัดความของประสบการณ์ การจำลอง แนวคิด และวัฒนธรรมมาแลกเปลี่ยนกัน” โคลส์ตันกล่าว
“เราทุกคนอยู่ในฟลอร์เต้นรำเดียวกันที่เรียกว่า ชีวิต คนรุ่นต่อไปในอนาคตจะต้องการให้ทุกฝ่ายเต็มใจและแบ่งปันเรื่องเล่าระดับชาติ ทำนองเพลง และบรรทัดฐานของตนเอง เมื่อนั้น พวกเราสามารถคาดหวังที่จะออกแบบท่าเต้นแบบฟิวชั่นซึ่งจะเป็นผลบวกร่วมกัน” เธอกล่าวเสริม