ผู้เชี่ยวชาญชาวไทยช่วยฟื้นฟูสภาพดินในหมู่บ้านเก่าแก่ของจีน

(People's Daily Online)วันพฤหัสบดี 08 พฤษภาคม 2025

หมู่บ้านเตี้ยวหยวนตั้งอยู่ในเนินเขาสูงชันของเมืองจี๋อันในมณฑลเจียงซี ทางตะวันออกของจีน มีอายุกว่า 1,100 ปี โดยเมื่อมองผังเมืองจากด้านบนนั้นมีความคล้ายคลึงกับแผนผังไทชิของลัทธิเต๋าอย่างมาก สันเขาที่คดเคี้ยวแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน สถานที่แห่งนี้ล้อมรอบด้วยต้นการบูรโบราณกว่า 20,000 ต้น ซึ่งบางต้นเคยเกือบหมดสภาพเพราะดินที่เสื่อมโทรม

ดร.เกษม สร้อยทอง ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาโรคพืชวิทยา คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้เดินทางมาที่นี่เป็นครั้งที่ 11 เพื่อเก็บตัวอย่างดิน หลังจากผ่านการใช้เทคโนโลยีจุลินทรีย์ลงผืนดินมาเกือบสองปี ดินที่เคยแน่นและเป็นกรดของหมู่บ้านเตี้ยวหยวนก็เปลี่ยนเป็นดินที่ได้มาตรฐานสีเขียว โดยมีปริมาณอินทรีย์และเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น

หมู่บ้านแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) เป็นตัวแทนของมรดกทางการเกษตรของจีน อย่างไรก็ตาม การละเลยมาหลายปีทำให้ที่นี่ต้องเผชิญกับการกัดเซาะและการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เมื่อสี่ปีที่แล้ว หน่วยงานท้องถิ่นได้ร่วมมือกับ โรงแรมบูติก อลัวร์ วัลเลย์ เพื่อปลุกหมู่บ้านที่ “หลับใหล” แห่งนี้ให้ตื่นขึ้น

ซุน จื้อหมิง ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมบูติก อลัวร์ วัลเลย์ โครงการเตี้ยวหยวน กล่าวว่า “การฟื้นฟูสถาปัตยกรรมโบราณยังไม่เพียงพอ เราต้องฟื้นฟูระบบนิเวศด้วย” เขาหันไปปรึกษา ดร.เกษม ผู้คลุกคลีกับงานวิจัยด้านเกษตรอินทรีย์และความหลากหลายทางชีวภาพในจีนมานานกว่า 30 ปี เพื่อหาทางออก

ในช่วงแรก ดร.เกษมชื่นชมเสน่ห์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของเตี้ยวหยวน แต่เขาก็พบกับความจริงอันโหดร้ายที่ว่า การทดสอบดินและน้ำเผยให้เห็นการปนเปื้อนสารเคมีอย่างรุนแรง จึงไม่ได้เป็นเรื่องง่ายในการทำความสะอาด

การฟื้นฟูต้นการบูรต้องอาศัยการฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดิน แต่แนวทางของ ดร.เกษมกลับไม่ธรรมดา เขาใช้ขยะจากหมู่บ้าน เช่น ฟางข้าว ใบไม้ร่วง และเศษอาหารจากครัว ทีมงานของเขาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ด้วยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยให้ดินได้รับสารอาหารด้วยตัวมันเอง

ชาวบ้านจำนวนมากไม่เชื่อในวิธีการปรับปรุงดินของ ดร.เกษม และตั้งคำถามว่า “นี่ไม่ใช่แค่ปุ๋ยหมักหรืออย่างไร แล้วนั่นจะเป็น “เทคโนโลยีขั้นสูง” ได้อย่างไร ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ประทับใจกับวิธีการปรับปรุงดินของ ดร.เกษม และพวกเขาโต้แย้งว่าปุ๋ยเคมีแบบดั้งเดิมก็ใช้ได้ผลดีพอ ๆ กัน หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช และยังมีประสิทธิภาพมากกว่าอีกด้วย

ศาสตราจารย์ชาวไทยอธิบายว่าการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์เป็นเวลานานทำให้ดินเป็นกรด ทำให้เกิดการอัดตัว และอาจทิ้งสารพิษตกค้างซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ประเด็นนี้ เขาได้ทดลองใช้เทคโนโลยีนี้ในแปลงผักที่มีพื้นที่มากกว่า 10 หมู่ (ประมาณ 4.2 ไร่) โดยห้ามใช้สารเคมีทั้งหมด

แนวทางของเขาทำให้ดินมีคุณภาพสูงและปลอดมลภาวะ ทำให้สามารถปลูกพืชอินทรีย์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้นี้ชนะใจชาวบ้านที่ไม่เชื่อในไม่ช้า ตอนนี้ พวกเขาทำงานร่วมกับศาสตราจารย์เพื่อตรวจสอบความเป็นกรดของดินและใช้เฉพาะสารอินทรีย์เท่านั้น

หลี่ จื้อ ชาวบ้านในหมู่บ้านยอมรับว่า “ผักมีรสชาติสดกว่าและดูสดใสกว่า”

ด้วยคุณภาพที่เหนือกว่า ข้าวอินทรีย์ของเตี้ยวหยวนจึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก “ปีที่แล้ว ข้าวอินทรีย์ 50,000 กก. ของเราขายในราคา 44 หยวนต่อกิโลกรัม (ประมาณ 6.1 ดอลลาร์สหรัฐ)” หลี่ เว่ยเฉา ผู้ดูแลแผนกเกษตรกรรมของโรงแรมบูติก อลัวร์ วัลเลย์ในเตี้ยวหยวนกล่าว

เขากล่าวว่าเทคโนโลยีการฟื้นฟูดินของ ดร.เกษม ได้ถูกนำไปใช้งานในพื้นที่เกษตรกรรม 500 หมู่ (ราว 210 ไร่) ในหมู่บ้านแล้ว โดยมีแผนจะดำเนินการอีก 500 หมู่ในปีนี้

จากทุ่งนาที่แห้งแล้งกลายมาเป็นระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ คูน้ำที่เคยมีกลิ่นเหม็นกลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลา เป็ด และกบ ในปี 2567 เตี้ยวหยวนได้รับการรับรองจากสมาคมเทคโนโลยีการเกษตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นหมู่บ้านรีสอร์ทสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดร.เกษม กล่าวว่า “ในปีนี้ เราวางแผนที่จะสร้างสถานีทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ขนาดใหญ่เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตามความต้องการ” พร้อมเสริมว่า จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการเกษตรระหว่างไทยและจีนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น