‘สี จิ้นผิง’ ในสายตาข้าพเจ้า
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถือเป็นผู้นำที่คงความโดดเด่นในยุคปัจจุบัน ความสามารถในการนำพาประเทศไปสู่หมุดหมายที่เรียกว่า “ความฝันของจีน” และการฝ่ากระแสความผันผวนจากพหุปัจจัย เช่น ข้อพิพาทระหว่างประเทศ อุบัติการณ์โรคระบาด สงครามการค้า ฯลฯ คือหลักฐานบ่งชี้สำคัญ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงลืมตาดูโลกในปี พ.ศ. 2496 เป็นบุตรชายของนายสี จ้งซวินซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษภายใต้การสนับสนุนของนายเติ้ง เสี่ยวผิงและนายเย่ เจี้ยนอิง (1 ใน 10 จอมพลผู้ก่อตั้งของกองทัพปลดปล่อยประชาชน) สี จ้งซวินใส่ใจเรื่องสายใยระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับประชาชนมาก มักจะตอกย้ำกับตัวเองเสมอว่า เป็นลูกหลานเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน หาใช่อภิสิทธิ์ชนจากที่ไหน ความใส่ใจนี้ถูกถ่ายทอดให้บุตรชายจนกลายเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม พ.ศ. 2512 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถูกส่งไปใช้แรงงานในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ มณฑลส่านซี ทุกวันต้องทำการเกษตรประเภทนอนกลางดินกินกลางทรายร่วมกับคนในชุมชน บางครั้งต้องสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ลากรถเข็นหนัก ๆ พักอาศัยในถ้ำ แม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก ประสบการณ์ดังกล่าวกลับทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงสร้างความผูกพันกับประชาชนรวมทั้งมีความเข้าใจปัญหาการขาดแคลนอย่างถึงที่สุด วันที่ต้องจากหมู่บ้านไปประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถึงขั้นหลั่งน้ำตาด้วยความอาวรณ์
ย่างเข้าปี พ.ศ. 2517 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมดังความมุ่งหวังก่อนจะไปทำหน้าที่นักศึกษาสาขาวิศวกรรมเคมี ที่มหาวิทยาลัยชิงหวาในปีถัดมา เมื่อสำเร็จการศึกษา จึงเริ่มทำงานให้กับพรรคอย่างต่อเนื่อง รวมกันแล้วแบกภาระหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 30 ตำแหน่ง หากเป็นในแง่การบริหารพื้นที่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเคยรับใช้มณฑลส่านซี มณฑลเหอเป่ย มณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลเจ้อเจียง กระทั่งในปี 2555 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนรวมทั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ปีถัดมาจึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในการบริหารแทนอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่คือปัจจัยผลักดัน แต่การยึดมั่นประชาชน เป็นหนึ่งเดียวกับประชาชน เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้รับความไว้วางใจให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งสำคัญของประเทศ
ระหว่างดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ปีแรก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเผยแนวคิดความฝันของจีน นัยว่า เพื่อเป็นเส้นทางไปสู่เป้าใหญ่ของชาติ โดยมุ่งการฟื้นคืนศักดิ์ศรีอย่างเต็มรูปแบบหลังจากที่จีนถูกกดขี่ข่มเหงในยุคล่าอาณานิคมจวบจนสงครามมหาเอเชียบูรพา แล้วยังโดนดูแคลนว่า เป็นชาติของคนยากจนตลอดหลายทศวรรษก่อนหน้านั้น ในการนี้ จีนจะต้องมีศักยภาพในการพึ่งพาตัวเอง ทำให้ทุกคนอยู่ดีกินดีถ้วนหน้า และมีพลังสร้างสรรค์สังคม การผลักดันให้จีนขยับไปเป็นผู้นำในเชิงเศรษฐกิจวิทยาการของโลกก็ถูกรวมอยู่ในแนวคิดนี้เช่นกัน
เพื่อต่อยอดจากความฝันของจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศอภิมหาโครงการทางสายไหมใหม่ (Belt and Road Initiative จากชื่อเดิม One Belt One Road) ในปี 2556 เพื่อเชื่อมโยงจีนกับมิตรประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ใช้เส้นทางคมนาคมทางบกและทะเล และเปิดทางความร่วมมือทั้งในด้านการค้า/การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม การเมือง ฯลฯ อย่างเข้มข้น ข้อเสนอการเชื่อมโยงยังครอบคลุมไปถึงทวีปอเมริกาโดยใช้เส้นทางรถไฟลอดช่องแคบแบริ่ง ความยาว 53 กิโลเมตรซึ่งตั้งคั่นกลางระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียกับมลรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกา ทว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับ กระนั้นทางสายไหมใหม่ก็ทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางโลกาภิวัตน์ทางเลือกในสายตาประชาคมสากล เนื่องจากมีการเดินหน้าในหลายภูมิภาค ประเมินกันว่าโครงการนี้จะเพิ่มจีดีพีโลกถึง 7.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายในปี 2583
ไม่เพียงแค่การเชื่อมโยง จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยังแสดงบทบาทในเรื่องสำคัญหลายประการ เช่น ข้อริเริ่มว่าด้วยการพัฒนาระดับโลก โดยสนับสนุนให้แต่ละชาติได้พัฒนาตามแนวทางที่เหมาะกับบริบทภายใน ยึดประชาชนและธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง หรือ ความคิดริเริ่มด้านความมั่นคงระดับโลกซึ่งหมายถึง การยอมรับความต่าง การต่อต้านความพยายามก่อสงครามเย็น และการทัดทานอิทธิพลที่แสดงออกอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนหน้านี้จีนให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่นกัน อย่างในช่วงปี 2556-2561 จีนได้ปล่อยเงินช่วยเหลือไปแล้วถึง 41.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นเงินทุนพัฒนา เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย และเงินกู้แบบผ่อนปรน นั่นทำให้จีนได้รับความสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สำหรับผลงานในประเทศ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประสบความสำเร็จกับหลายประเด็น ปี 2564 จีนสามารถบรรเทาความยากจนในเขตชนบทให้แก่ชาวจีนมากถึง 770 ล้านคน คิดเป็นประชากรในพื้นที่ 832 อำเภอและ 128,000 หมู่บ้าน การปราบทุจริตคอรัปชั่นก็เป็นอีกหนึ่งผลงานสะท้านสังคม การสั่งปราบคอรัปชั่นในเขตอุตสาหกรรมถ่านหินในพื้นที่ปกครองตัวเองของมองโกเลียในคือตัวอย่างที่ชัดเจน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงอนุมัติให้หน่วยไต่สวนแกะรอยย้อนหลังไปได้ถึง 20 ปีเพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดหลุดรอด การออกแนวคิด ‘ความมั่งคั่งร่วมกัน’ และการพัฒนากองทัพให้เข้มแข็งก็ถูกใจประชาชน ความมั่นคั่งร่วมกัน หมายความว่า ธุรกิจและผู้ประกอบการจะต้องมีส่วนช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เช่น ลงทุนโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้แก่ประชาชน ส่วนการพัฒนากองทัพเห็นได้ชัดจากการขยายตัวของสมรรถนะต่าง ๆ อย่างปี 2564 จีนมีจำนวนเรือรบหลักมากถึง 348 ลำ ขณะที่สหรัฐฯ มี 296 ลำ ถือได้ว่า จีนมีกองทัพเรือใหญ่ที่สุดในโลก และภายในปี 2583 จะมีเรือรบเพิ่มขึ้น 40%
หากพิจารณาสถานการณ์รอบโลก จะเห็นว่า ความไม่แน่นอนกำลังคุกคามไปทั่ว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน โรคระบาด ฯลฯ แต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกลับสามารถรักษาสมดุลแห่งการพัฒนาให้ชาวจีนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง มากไปกว่านั้นชาวจีนให้การยอมรับพรรคคอมมิสนิสต์ภายใต้การบริหารงานปัจจุบัน การยอมรับมาจากความเชื่อมั่นในความทุ่มเทของผู้นำและทิศทางที่จีนจะก้าวต่อไปโดยไม่สะทกสะท้านต่อความพยายามบั่นทอนใด ๆ จึงไม่น่าแปลกใจหากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะได้รับความไว้วางใจจากทั่วทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนจีนให้ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อไปอีกสมัย เพราะวาระสำคัญคือการฝ่าอุปสรรคนานัปการไปสู่ความฝันของจีน หากไม่ใช่บุคคลที่กล้าหาญเพียงพอ ความฝันของจีนอาจจะลดเหลือเพียงแค่วาทกรรมทางการเมือง และจีนจะไม่มีวันไปถึงจุดที่ตั้งความหวังไปอีกยาวนาน
ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย